วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บิดาแห่งวิทยาศาตร์ไทย

กล่าวสวัสดี Blogger Nation ทุก ๆ ท่านค่ะ ในเดือนนี้มีวันสำคัญอีกหนึ่งวันที่สมควรการกล่าวถึง นั่นคือ "วันวิทยาศาสตร์ไทย" ตรงกับ วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี ใน Blog นี้ ผมจะนำเสนอเรื่องราวของวันนี้ค่ะ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพเมื่อ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๔๗ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีชวด ฉศกจุลศักราช ๑๑๖๖ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๒ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ณ พระราชวังเดิม พระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อพระชนมายุย่างเข้า ๙ พรรษา (พ.ศ. ๒๓๕๖) สมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดให้มีพระราชพิธีลงสรงเป็นครั้งแรก ในกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ดำรงพระ ราชเกียรติยศรับพระราชทานพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์พงศ์อิศวร กษัตริย์วรขัตติยราชกุมาร" ปรากฏตามอเนกนิกรชนสมมติ เรียกพระนามว่า "ทูลกระหม่อมฟ้าพระองค์ใหญ่"
ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ (พระชนมายุได้ ๔๗ พรรษา ทรงผนวชมาได้ ๒๗ พรรษา) พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ได้เข้ากราบถวายบังคมทูลอัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สืบพระราช สันติวงศ์ รัชกาลที่ ๔ โดยมีพระราชปรมาภิไธยโดยย่อว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรามหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเริ่มสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง พระมหากษัตริย์กับ อาณาประชาราษฎร ให้เข้ากับกาลสมัยในรูปใหม่ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พระองค์ ทรงอยู่ในสมณเพศนานถึง ๒๗ พรรษา ได้เสด็จธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่างๆ เป็นโอกาสให้ทรงได้รับรู้สภาพความเป็นอยู่ โดยแท้จริงของ ราษฎรส่วนใหญ่ด้วยพระองค์เอง นับเป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง และเป็นการเตรียมพระองค์เพื่อปกครองบ้านเมืองในอนาคต เป็นอย่างดี ประกอบกับลัทธิจักรวรรดินิยม ที่แผ่ขยายมายังประเทศใกล้เคียงในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในทวีปเอเซีย ทำให้พระองค์ทรง ตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศสยาม จะต้องยอมรับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก และเร่งปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย โดยทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจในหลายๆ ด้านไปพร้อมๆ กันด้วยพระบรมราโชบายที่มีทรรศนะไกล และด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ คือ
 ๑. ด้านการต่างประเทศ
๒. ด้านการเสริมสร้างความมั่นคงและการป้องกันพระราชอาณาจักร
๓. ด้านการปฏิรูปการปกครอง
๔. ด้านการทำนุบำรุงอาชีพของราษฎรและการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และการคลัง
๕. ด้านบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎร
๖. ด้านบำรุงศึกษาศาสตร์
๗. ด้านพระราชพิธี ประเพณี ธรรมเนียม
๘. ด้านพระศาสนา
๙. ด้านการก่อสร้าง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า การศึกษาสมัยใหม่ เป็นสิ่งจำเป็นในการปรับปรุงบ้านเมืองให้ทันสมัย เป็นที่ยอมรับของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ทรงสนับสนุนงานริเริ่มจัดการศึกษาสมัยใหม่ โดยคณะมิชชั่นนารี อย่างดียิ่ง ทรง เป็น "องค์วิชาการ" ทรงใฝ่พระทัยศึกษาด้วยพระองค์เอง ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดี ปรัชญาศาสนาต่างๆ ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์
สุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคามืดหมดดวงทรงศึกษาด้วยพระองค์เอง ทรงพยากรณ์ล่วงหน้าถึง 2 ปี และปรากฏการณ์เกิดขึ้นตรงตามที่ทรงคำนวณไว้ทุกประการ
ณ วันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๑๑ เป็นวันสำคัญที่พระองค์ท่าน, ตลอดจนบรรดาผู้โดยเสด็จ และผู้มาเข้าเฝ้าทั้งไทยและเทศต่างเฝ้ารอ คำพยากรณ์จากการคำนาณทางดาราศาสตร์, ก็ปรากฎว่า เมื่อเวลา ๑๐.๑๖ น. ท้องฟ้าเหนือชายทะเล บ้านหว้ากอ ซึ่งแต่เดิมปกคลุมด้วยเมฆฝนก็พลันกระจ่างมองเห็นดวงอาทิตย์ไรๆ, พอรู้ว่าสุริยุปราคาได้เริ่มขึ้นแล้ว, จนกระทั่งเวลา ๑๑.๓๖ น. กับอีก ๒๐ วินาที ก็จับเต็มดวง, ซึ่งกินเวลาจับเต็มดวง ทั้งสิ้น ๖ นาที กับ ๔๕ วินาที. เล่ากันมาว่า "เวลานั้นมืดเหมือนเวลากลางคืน เวลาพลบค่ำ คนที่นั่งไกล้ๆก็แลดูไม่รู้จักหน้ากัน" ท่ามกลางความมืดจากสุริยุปราคานั้น, พระบารมีขององค์พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยก็เจิดจรัสแจ่มฟ้า พระองค์ทรงสามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ตำบล หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้อย่างแม่นยำ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งเป็นการพิสูจน์ผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ และครั้งแรกของชาติไทย จนเป็นที่เลื่องลือในวงการดาราศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจยิ่งของประเทศชาติ


ตำบลหว้ากอ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชดำเนินทอดพระเนตรการเกิดสุริยุปราคา ปี พ.ศ. 2411 พระตำหนัก 3 ชั้นที่ประทับสร้างด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก มุงจาก และใบตาลแห้ง รั้วทำด้วยกิ่งไม้
เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๕ คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้เทิดทูนพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" องค์ปฐมดำริสร้างไทยก้าวทันโลก และกำหนดให้วันที่ ๑๘ สิงหาคม ของทุกปี เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการเร่งรัดส่งเสริมและสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เพื่อยกย่องสดุดีพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" และเพื่อกระตุ้นสำนึกและเสริมสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในทุกระดับได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีผลต่อการพัฒนาฐานะของประเทศให้ดีขึ้น

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ได้จัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๗ โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิด กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จัดกิจกรรมขยายออกไปอย่างกว้างขวางและพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ ความร่วมมือดังกล่าวก่อให้เกิดพลังสำคัญในการกระตุ้นให้ประชาชนและเยาวชนไทยมีความตื่นตัว และเห็นความสำคัญของบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีต่อการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการจัดงานข้างต้น ดังนั้น เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๒๘ คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ดำเนินการจัดงาน "สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เป็นประจำทุกปี ระหว่าง วันที่ ๑๘-๒๔ สิงหาคม และอนุมัติให้จัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินการจัดงานตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๙ เป็นต้นมา

ข้อมูลจาก http://www.kingmongkut.com/main.html 

การแผ่รังสีความร้อน


การแผ่รังสี  
การแผ่รังสี (Radiation) เป็นการถ่ายเทความร้อนออกรอบตัวทุกทิศทุกทาง โดยมิต้องอาศัยตัวกลางในการส่งถ่ายพลังงาน ดังเช่น การนำความร้อน และการพาความร้อน การแผ่รังสีสามารถถ่ายเทความร้อนผ่านอวกาศได้ วัตถุทุกชนิดที่มีอุณหภูมิสูงกว่า -270 ํC หรือ 0 K (เคลวิน) ย่อมมีการแผ่รังสี วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงแผ่รังสีคลื่นสั้น วัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำแผ่รังสีคลื่นยาว เช่น การตากปลาแห้ง ตากเสื่อผ้ากลางแจ้ง
ทั้งนี้การแผ่รังสี คือการถ่ายโอนความร้อนโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ เช่น ความร้อนที่เกิดจากดวงอาทิตย์ถือเป็นความร้อนที่เกิดจากการถ่ายโอนความร้อนโดยการแผ่รังสี โดยที่วัตถุแต่ละชนิดสามารถดูดกลืนความร้อนจากการแผ่รังสีได้ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
1. สีของวัตถุ วัตถุสีดำหรือสีเข้มดูดกลืนความร้อนได้ดีกว่าวัตถุสีขาวหรือสีอ่อน
2. ผิววัตถุ วัตถุผิวขรุขระดูดกลืนความร้อนได้ดีกว่าวัตถุผิวเรียบและขัดมัน
เราสามารถนำความรู้เรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ในการเลือกใช้ซึ่งมีสีและลักษณะของพื้นผิวของวัสดุให้เหมาะสม เช่น คนที่อาศัยในประเทศเขตหนาวควรใช้เครื่องนุ่มห่มสีเข้ม เพราะดูดกลืนความร้อน และให้ความอบอุ่นมากกว่าสีอ่อนๆ แต่คนในประเทศเขตร้อนควรใช้เครื่องนุ่งห่มสีอ่อนๆ เพราะให้ความรู้สึกเย็นสบายกว่าใช้สีเข้ม, สังกะสีหรือวัสดุที่ใช้มุงหลังคาบ้านเรือนในประเทศที่มีอากาศร้อนไม่ควรทาสีเข้ม จะได้สะท้อนแสงแดดและทำให้บ้านเรือนมีอุณหภูมิไม่สูงมากในเวลากลางวัน, สีของอาคารก็มีส่วนช่วยทำให้อาคารเย็นและร้อนได้ด้วย 

การพาความร้อน


การพาความร้อน  
การพาความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านตัวกลางที่เป็นของเหลวหรือแก๊สโดยที่ของเหลวหรือแก๊สส่วนที่ได้รับความร้อนจะเคลื่อนที่พาความร้อนไปด้วย
โดยหลักการแล้วกล่าวได้ว่า การถ่ายโอนความร้อนที่เกิดจากที่สารใดสารหนึ่ง ได้รับความร้อนแล้ว ความหนาแน่นของอนุภาคน้อยลงขยายตัวลอยตัวสูงขึ้น พร้อมทั้งพาความร้อนไปด้วย ขณะเดียวกันส่วนอื่นที่ยังไม่ได้รับความร้อนยังมีความหนาแน่นของอนุภาคมากกว่า จะเคลื่อนมาแทนที่เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนสสารนั้นได้รับความร้อนทั่วกัน เรียกว่า "การพาความร้อน"
เราสามารถนำประโยชน์ของการพาความร้อนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น บ้านที่มีช่องลมหรืออาคารที่ติดพัดลมระบายอากาศก็ใช้หลักการพาความร้อน เมื่ออากาศร้อนลอยตัวขึ้นสูงออกไปตามช่องลมหรือตามพัดลมระบายอากาศ อากาศที่เย็นกว่าก็จะพัดเข้ามาแทนที่ ทำให้อาคารหรือบ้านไม่ร้อน

การสร้างปล่องควัน เพื่อระบายควันและแก๊ส โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงมาเผาไหม้ให้ตวามร้อน จะสร้างปล่องควันสูงๆ จากเตาไฟ เพื่อให้ควันและแก๊สร้อนซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ ขยายตัวลอยขึ้นไปได้สะดวก ทำให้มีการเผาไหม้ได้ดี อากาศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจึงเข้าไปในเตาได้สะดวกด้วย ทำให้มีการเผาไหม้ได้ดี การพาความร้อน นอกจากจะช่วยทำให้เชื้อเพลิงในเตาไฟติดไฟได้ดีแล้ว ยังช่วยให้อุณหภูมิของอากาศภายในโรงงานไม่สูงเกินไป และไม่มีควันรบกวนการทำงานของคนงาน 
 

การนำความร้อน

การนำความร้อน (อังกฤษheat conduction) คือ ปรากฏการณ์ที่พลังงานความร้อนถ่ายเทภายในวัตถุหนึ่ง ๆ หรือระหว่างวัตถุสองชิ้นที่สัมผัสกัน โดยมีทิศทางของการเคลื่อนที่ของพลังงานความร้อนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า โดยที่ตัวกลางไม่มีการเคลื่อนที่
การนำความร้อนเป็นกระบวนการชีววิทยา ที่เกิดขึ้นบนชั้นอะตอมของอนุภาค เป็นหนึ่งในกระบวนการถ่ายเทความร้อน ในโลหะ การนำความร้อนเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระ(คล้ายการนำไฟฟ้า)ในของเหลวและของแข็งที่มีสภาพการนำความร้อนต่ำเป็นผลมาจากการสั่นของโมเลกุลข้างเคียง ในก๊าซ การนำความร้อนเกิดขึ้นผ่านการสั่นสะเทือนระหว่างโมเลกุลหรือกล่าวคือการนำความร้อนเป็นลักษณะการถ่ายเทความร้อนผ่าน โดยตรงจากวัตถุหนึ่งไปยังอีกวัตถุหนึ่งโดยการสัมผัสกัน เช่น การเอามือไปจับกาน้ำร้อน จะทำให้ความร้อนจากกาน้ำถ่ายเทไปยังมือ จึงทำให้รู้สึกร้อน เป็นต้น วัสดุใดจะนำความร้อนดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับสัมประสิทธิ์การนำความร้อน (k)
ตัวอย่างสัมประสิทธิ์การนำความร้อน (k)
วัสดุสัมประสิทธิ์การนำความร้อน(k)(W/mK)
อากาศ (ที่ความดันบรรยากาศ)
อะลูมิเนียม
คอนกรีต
ทองแดง
เพชร
น้ำแข็ง
กระดาษ
ไม้
เงิน
0.026
237
1.82
401
2300
2.2
0.05
0.1-0.35
429
วัสดุนาโนเทคโนโลยี เป็นวัสดุที่น่าสนใจในเทคโนโลยีการถ่ายเทความร้อน เช่น ซิลเวอร์นาโน มีค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อน 1.2Kw นาโนอื่น ๆ ที่มีสัมประสิทธิ์การนำความร้อนมากกว่านี้มีอีกมาก

ความหมายของวิทยาศาสตร์


     วิทยาศาสตร์ “Science“ มาจากคำว่า Scientic ในภาษาลาติน แปลว่า ความรู้ (Knowledge) ฉะนั้น วิทยาศาสตร์คือ ความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับ ธรรมชาติที่มนุษย์ สะสมมาแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต อย่างไม่รู้จักจบสิ้น (ทบวง, 2533) นอกจากนี้ยังกล่าวได้ว่า วิทยาศาสตร์ คือ

องค์ความรู้ที่มีระบบและจัดไว้อย่างมีระเบียบแบบแผน โดยทั่วไปกระบวนการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (The Process of Science) ประกอบด้วย 
          - ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) 
          - เจตคติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Attitude) 

ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)      เป็นการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์มี 5 ขั้นตอน
          1. การสังเกตและการตั้งปัญหา
          2. การตั้งสมมุติฐาน เป็นการคาดคะเนอย่างมีเหตุผล
          3. การศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล
          4. การทดลองเพื่อตรวจสอบสมมุติฐาน
          5. การสรุปผล
 
เจตคติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Attitude) 
     เจตคติเป็นองค์ประกอบส่งเสริม กระบวนการแสวงหา ความรู้ ที่ทบวงกำหนดมี 6 กระบวนการ  
          1. มีเหตุผล     
          2. อยากรู้ยากเห็น
          3. ใจกว้าง
          4. ชื่อสัตย์ใจเป็นกลาง
          5. ความเพียรพยายาม
          6. ละเอียดรอบคลอบ  
 
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์  
     ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นผลิตผล (Product) ทางวิทยาศาสตร์จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (The Science Process) ซึ่งเป็นความรู้ที่ถือว่า เป็นความรู้ ทาง วิทยาศาสตร์ จะต้องทดสอบยืนยันได้ว่า ถูกต้องจากการ ทดสอบหลายๆ ครั้ง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อาจแบ่งเป็น 6 ประเภท  
          1. ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่สังเกตได้โดยตรง และจะต้องมีความเป็นจริง สามารถ ทดสอบแล้วได้ผลเหมือนกันทุกครั้ง
          2. ความคิดรวบยอดหรือมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดจากการนำเอาข้อเท็จจริงหลายๆ ส่วนที่เกี่ยวข้อง มาผสมผสานเกิดความรู้ใหม่
          3. ความจริงหลักหรือหลักการ คือ กลุ่มของความคิด รวบยอดที่เป็นความรู้หลักทั่วไป สามารถใช้อ้างอิงได้ คุณสมบัติของหลักการ คือ จะต้องสามารถ นำมาทดลองซ้ำ ได้ผลเหมือนเดิม
          4. กฎ คือ หลักการอย่างหนึ่ง แต่เป็นข้อความที่เน้นความ สัมพันธ์ระหว่างเหตุผล มักแทนความสัมพันธ์ ในรูปสมการ 
          5. สมมุติฐาน เป็นคำอธิบายซึ่งเป็นคำตอบล่วงหน้า ก่อนที่จะ ดำเนินการทดลอง เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เป็นจริงในเรื่อง นั้นๆ
          6. ทฤษฎี คือความรู้ที่เป็นหลักการกว้างๆ 

ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์       วิทยาศาสตร์มีประโยชน์ต่อมนุษย์ และมีบทบาทสำคัญ ต่อการพัฒนาประเทศ ผลของการศึกษาค้นคว้าทาง วิทยาศาสตร์ เกี่ยวโยงกับความเจริญในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การสื่อสารคมนาคม การเกษตร การศึกษา การอุตสาหกรรม การเมือง การเศรษฐกิจ  

เทคโนโลยี      เทคโนโลยี หมายถึง ขบวนการความรู้ และการปฏิบัติ ที่จะนำวิทยาศาสตร์ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ในลักษณะเกื้อกูล สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีแบ่งเป็น 2ประเภท คือ  
          1. เทคโนโลยีทางการผลิต หมายถึง ความรู้สำหรับการ แปรสภาพวัตถุดิบ ประกอบชิ้นส่วน ตลอดจนถึงการ ทดสอบผลิตภัณฑ์ 
          2. เทคโนโลยีด้านการจัดการ หมายถึง องค์ความรู้ ในการจัดความสัมพันธ์ ระหว่างวัตถุดิบ คน และเครื่องจักร เพื่ออำนวยให้กการผลิตดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ  
     เครื่องมือสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง ที่เกิดจากความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีการนำไปใช้ใน วิทยาการทุกแขนง คือ คอมพิวเตอร์ ผลผลิตที่สำคัญอีก ชิ้นหนึ่ง ที่แสดงความสัมพันธ์ ระหว่างวิทยาการ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี คือ ระบบสื่อสาร โดยเฉพาะ ดาวเทียมสื่อสาร  
 
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์       คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน แยกออกเป็น 4 ชนิด คือ 
          - ซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ 
          - เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ 
          - มินิคอมพิวเตอร์ 
          - ไมโครคอมพิวเตอร์ 

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) หรือ A.L. หมายถึง ระบบคอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบการคิดแบบมนุษย์  
     - ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super computer)  เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะในการทำงานสูงกว่า คอมพิวเตอร์แบบอื่น  
     - เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)  คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก แต่ยังต่ำกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ คือปกติสามารถทำงานได้รวดเร็ว หลายสิบล้านคำสั่งต่อวินาที  
     - มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer)  เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะ น้อยกว่า เครื่องเมนเฟรม คือทำงานได้ ช้ากว่า และควบคุมอุปกรณ์ รอบข้าง ได้น้อยกว่า นำมาใช้สำหรับประมวลผล ในงานสารสนเทศขององค์การขนาด กลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ ที่มีการ วางระบบ เป็น เครือข่าย เพื่อใช้งาน ร่วมกัน  
     - ไมโครคอมพิวเตอร์  เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก และใช้ทำงานคนเดียว จึงนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer)  

เทคโนโลยีการสื่อสาร       เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคใหม่ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 
          1. เทคโนโลยีการสื่อสารชนิดใช้สาย อาศัยการส่ง-รับข้อมูล ผ่านสาย การสื่อสารที่สำคัญ คือ สายโทรเลข สายโทรศัพท์ สายเคเบิล 
          2. เทคโนโลยีการสื่อสารชนิดไม่ใช้สาย อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อการส่ง-รับสัญญาณ การสื่อสารที่สำคัญ ได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ โทรพิมพ์  

เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)       หมายถึง วิทยาการที่เกี่ยวกับ ศิลปะในการนำเอา วิทยาศาสตร์ ประยุกต์มาใช้พัฒนาระบบทางชีวภาพ เพื่อให้เกิด ประโยชน์ ต่อมนุษย์ในด้านต่าง ๆ 
     งานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นงานที่มีความเกี่ยวพันกับ สิ่งมีชีวิต โดยตรง เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ กระบวนการ ทางชีวเคมี ต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ในสิ่งมีชีวิต ซึ่งกระบวนการ ทางชีวเคมี ที่เกิดขึ้น ภายในเซลล์ของ สิ่งมีชีวิต เป็นผล มาจากการทำงาน ของสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ และหน่วย พันธุกรรมหรือยีน การศึกษางานด้าน เทคโนโลยีชีวภาพ จึงต้องอาศัยความ รู้พื้นฐาน เกี่ยวกับสารพันธุกรรม และพฤติกรรม ของ สารพันธุกรรม รวมทั้งวิธีการสำคัญต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการด้าน เทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อการ นำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 
          1. ด้านการแพทย์ 
          2. ด้านการเกษตร 
          3. ด้านอุตสาหกรรม 
          4. ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม